ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

จากปก | คัมภีร์ไบเบิล คุณก็เข้าใจได้

หนังสือที่ใคร ๆ ก็เข้าใจได้

หนังสือที่ใคร ๆ ก็เข้าใจได้

คัมภีร์ไบเบิลถือว่าเป็นหนังสือที่เก่าแก่มากเล่มหนึ่ง แล้วเก่าแก่ขนาดไหนล่ะ? คัมภีร์ไบเบิลเริ่มเขียนในแถบตะวันออกกลางราว ๆ 3,500 ปีมาแล้ว ถ้าจะให้เทียบเวลา การเขียนพระคัมภีร์ก็อยู่ในช่วงของราชวงศ์ซางที่ยิ่งใหญ่ของจีน หรือประมาณ 1,000 ปีก่อนที่จะมีการก่อตั้งศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย—ดูกรอบ “ ข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล

คัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบสำหรับคำถามสำคัญ ๆ เกี่ยวกับชีวิต พออ่านแล้วก็รู้สึกว่า นี่แหละใช่เลย

หนังสือที่จะมีประโยชน์และเป็นเครื่องนำทางที่ดีสำหรับมนุษย์ก็ต้องเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจได้ และไม่ใช่เรื่องไกลตัว พระคัมภีร์ก็เป็นแบบนี้ด้วย คือมีคำตอบสำหรับคำถามสำคัญ ๆ เกี่ยวกับชีวิต พออ่านแล้วก็รู้สึกว่า นี่แหละใช่เลย

ขอยกตัวอย่าง คุณเคยสงสัยไหมว่า ‘เราเกิดมาทำไม?’ นี่เป็นคำถามที่มนุษย์เราเฝ้าหาคำตอบมานานนับพัน ๆ ปีจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่จริงคำตอบมีอยู่แล้วในสองบทแรกของเยเนซิศซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิล เรื่องราวในหนังสือนี้ย้อนเวลากลับไปถึงตอน “เริ่มแรก” คือเมื่อหลายพันล้านปีก่อนตอนที่มีเอกภพเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งรวมทั้งกาแล็กซี ดวงดาว และโลกของเราด้วย (เยเนซิศ 1:1, ฉบับคิงเจมส์ ) หนังสือนี้ยังอธิบายว่า มีการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้น ๆ อย่างไรจนโลกมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตนานาชนิดเกิดขึ้นมาตามลำดับอย่างไร มนุษย์เกิดขึ้นมาอย่างไร และทำไมสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ถึงเกิดขึ้น

เขียนเพื่อให้เข้าใจได้

คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ช่วยให้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ และคำแนะนำก็เข้าใจได้ง่าย ด้วยเหตุผล 2 ข้อคือ

ข้อแรก คัมภีร์ไบเบิลใช้ภาษาที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และเข้าถึงหัวใจ แทนที่จะใช้สำนวนที่เข้าใจยากหรือลึกลับซับซ้อน คัมภีร์ไบเบิลใช้ภาษาพื้น ๆ หรือภาษาที่เราเข้าใจได้ง่าย และถ่ายทอดแนวคิดที่เข้าใจยากด้วยคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างเช่น พระเยซูหยิบยกสิ่งที่ผู้คนพบเห็นในชีวิตประจำวันมาเป็นตัวอย่างในการสอนบทเรียนหลายเรื่องที่โดนใจพวกเขา และหลายตัวอย่างก็อยู่ในคำสอนที่เรียกว่าคำเทศน์บนภูเขา ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือมัดธายบท 5-7 ของคัมภีร์ไบเบิล ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์คนหนึ่งเรียกคำเทศน์นี้ว่า “คำสอนที่มีประโยชน์” และเขายังให้ข้อสังเกตว่า เป้าหมายของคำสอนนี้ “ไม่ใช่เพื่อป้อนความคิดสารพัดอย่างเข้ามาจนเต็มหัวเรา แต่เพื่อชี้นำและบอกให้รู้ว่าควรประพฤติตัวอย่างไร” คุณสามารถอ่านคำเทศน์นี้จบได้ภายใน 15-20 นาที แล้วคุณจะต้องทึ่งที่ได้เห็นว่าพระเยซูใช้คำพูดง่าย ๆ แต่ก็มีพลังมากจริง ๆ

ข้อสอง สิ่งที่ทำให้คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่เข้าใจง่ายก็คือเนื้อหาของพระคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเทพนิยายหรือนิทานสอนใจ สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก บอกว่า เนื้อหาส่วนใหญ่ในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่ “เกี่ยวกับผู้คน ตั้งแต่ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ไปจนถึงชาวบ้านรากหญ้า” และเรื่องราว “การดิ้นรนต่อสู้ ความหวัง ความล้มเหลว และชัยชนะ” ของพวกเขา นี่ทำให้เราเข้าใจพวกเขาได้ง่ายขึ้น และยังทำให้เข้าใจบทเรียนสำคัญที่แฝงอยู่ในเรื่องราวชีวิตจริงและเหตุการณ์จริงนั้นด้วย—โรม 15:4

ใคร ๆ ก็หาอ่านได้

ถ้าจะอ่านหนังสือสักเล่มให้เข้าใจ คุณก็ต้องอ่านในภาษาของตัวเอง ทุกวันนี้ คัมภีร์ไบเบิลมีภาษามากมายให้อ่านได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือเป็นคนชาติใด มาดูว่าอะไรทำให้พระคัมภีร์มีหลายภาษาขนาดนั้น

การแปล ในตอนเริ่มต้น คัมภีร์ไบเบิลเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมอิก และภาษากรีก ดังนั้น จึงมีเฉพาะคนที่รู้ภาษาเหล่านี้เท่านั้นที่อ่านได้ แต่ผู้แปลที่มีความตั้งใจจริงก็ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อแปลข้อความเหล่านั้นออกมาในภาษาอื่น ๆ และเพราะความมานะบากบั่นของพวกเขา เวลานี้จึงมีคัมภีร์ไบเบิลในภาษาต่าง ๆ ประมาณ 2,700 ภาษาทั้งแบบครบชุดและบางส่วน นี่หมายความว่ามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกสามารถอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างน้อยก็บางส่วนของพระคัมภีร์ในภาษาของตัวเอง

การจำหน่ายจ่ายแจก ต้นฉบับของคัมภีร์ไบเบิลเขียนบนวัสดุที่ไม่ทนทาน เช่น กระดาษพาไพรัสและแผ่นหนัง และเพื่อจะรักษาข้อความเหล่านี้ไว้ให้คนรุ่นต่อ ๆ ไป จึงต้องมีการคัดลอกพระคัมภีร์ด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ทำให้ฉบับสำเนาของพระคัมภีร์มีราคาแพง และมีน้อยคนที่สามารถซื้อหามาอ่านได้ แต่เมื่อมีแท่นพิมพ์ที่กูเตนเบิร์กทำขึ้นเมื่อ 550 กว่าปีก่อน ก็ทำให้ผลิตและจำหน่ายพระคัมภีร์ออกไปได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วขึ้น ตามที่เคยมีการประมาณไว้ มีการจำหน่ายพระคัมภีร์ไปแล้วมากกว่า 5 พันล้านเล่มทั้งในแบบครบชุดหรือแบบบางส่วน

ไม่มีหนังสือศาสนาเล่มใดจะเทียบกับคัมภีร์ไบเบิลได้เมื่อพูดถึงด้านต่าง ๆ เหล่านี้ เห็นได้ชัดว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ใคร ๆ ก็อ่านและเข้าใจได้ แต่ที่จะเข้าใจทั้งหมดก็ไม่ง่ายซะทีเดียว จึงต้องอาศัยตัวช่วย แล้วเราจะหาตัวช่วยได้จากไหน? เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเราอย่างไร? บทความต่อไปจะตอบคำถามเหล่านี้