จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
เขาเผชิญหน้ากับความไม่ยุติธรรมด้วยใจอดทน
เอลียาห์เดินไปตามเส้นทางในหุบเขาจอร์แดน เขาเดินทางมาจากภูเขาโฮเรบที่อยู่ไกลออกไปทางเหนือเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ เขาเห็นอิสราเอลแผ่นดินบ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปมาก ร่องรอยของช่วงเวลาที่แห้งแล้งยาวนานเริ่มจางหายไป ฝนต้นฤดูใบไม้ร่วงเริ่มโปรยปรายลงมา ชาวนาออกไปทำไร่ไถนา ผู้พยากรณ์คนนี้คงใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นดินเริ่มกลับมาเขียวขจีอีกครั้ง แต่ที่เขาเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือผู้คนในชาตินี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าอยู่ในขั้นวิกฤติ ผลพวงจากการนมัสการพระบาอัล (บาละ) ยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ เอลียาห์มีงานมากมายที่ต้องสะสาง *
ใกล้เมืองเอเบล-เมโฮลาห์ เอลียาห์เห็นชาวนากำลังยุ่งกับการไถนาผืนใหญ่กันอยู่ เขาเห็นวัวตัวผู้ 12 คู่กำลังลากคันไถขุดดินที่เปียกชื้นให้เป็นร่องขนานไปกับพื้นดิน ชายที่กำลังบังคับวัวคู่สุดท้ายก็คือเอลีชา คนที่เอลียาห์กำลังมองหาอยู่ ซึ่งพระยะโฮวาได้เลือกไว้ให้เป็นผู้สืบตำแหน่งต่อจากเขา ที่ผ่านมา เอลียาห์คิดว่าเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า จึงไม่แปลกที่ทำไมเขาอยากพบชายคนนี้เหลือเกิน—1 กษัตริย์ 18:22; 19:14-19
เอลียาห์รู้สึกลังเลใจไหมที่จะมอบหมายงานซึ่งเคยเป็นสิทธิพิเศษของเขาให้คนอื่นทำแทนในอนาคต? เราคงพูดไม่ได้หรอกว่าเอลียาห์กังวลใจหรือหวงสิทธิพิเศษนี้หรือไม่ เพราะที่จริงเขาก็ “เป็นมนุษย์เหมือนเรา” (ยาโกโบ 5:17) ไม่ว่าจริง ๆ แล้วเอลียาห์จะรู้สึกอย่างไร แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เอลียาห์จึงตรงเข้าไปหาและเหวี่ยงเสื้อคลุมห่มให้เอลีชา” (1 กษัตริย์ 19:19 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) เสื้อคลุมประจำตำแหน่งของเอลียาห์อาจทำจากขนแกะหรือขนแพะซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาได้รับการแต่งตั้งพิเศษจากพระยะโฮวา ดังนั้น การที่เอลียาห์เหวี่ยงเสื้อคลุมห่มให้เอลีชาจึงมีความหมายมาก เพราะนั่นแสดงว่าเขาเต็มใจยอมรับคำสั่งของพระยะโฮวาที่ให้แต่งตั้งเอลีชาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา เอลียาห์เชื่อฟังและวางใจพระเจ้า
ส่วนเอลีชาก็กระตือรือร้นที่จะช่วยงานของผู้พยากรณ์ที่แก่กว่าเขา เอลีชาไม่ได้ทำหน้าที่แทนเอลียาห์ทันทีหลังจากได้รับการแต่งตั้ง แต่เป็นเวลาถึงหกปีที่เขาเป็นผู้ติดตามเอลียาห์และคอยช่วยเหลือด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ในตอนหลังเป็นที่รู้กันว่าเขาคือ ‘ผู้ที่ได้เทน้ำล้างมือให้เอลียาห์’ (2 กษัตริย์ 3:11) เอลียาห์คงมีกำลังใจมากขึ้นทีเดียว เมื่อได้ผู้ติดตามที่คอยช่วยเหลือและมีความสามารถแบบนี้! ไม่นานทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน การที่เขาต่างก็ให้กำลังใจกันเป็นสิ่งที่ช่วยพวกเขาให้สามารถอดทนได้ทั้ง ๆ ที่ต้องอยู่ในสังคมที่หาความยุติธรรมไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ปกครองที่ชั่วร้ายอย่างกษัตริย์อาฮาบ และนับวันเขาก็ยิ่งทำสิ่งที่ชั่วช้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
คุณเคยตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมไหม? เราทุกคนอยู่ในโลกที่เสื่อมทราม ดังนั้น การมีเพื่อนที่รักพระเจ้าจะช่วยคุณให้อดทนกับความไม่ยุติธรรมได้ นอกจากนี้ มีอีกหลายอย่างที่เราเรียนได้จากความเชื่อของเอลียาห์ในเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความไม่ยุติธรรม
“จงลุกขึ้น” ไปเฝ้ากษัตริย์อาฮาบ
เอลียาห์กับเอลีชาพยายามที่จะปลุกขวัญกำลังใจผู้คนให้กลับมาหาพระเจ้า เขาทั้งสองนำหน้าในการฝึกอบรมผู้พยากรณ์คนอื่น ๆ และรวบรวมคนเหล่านั้นเข้ามาเพื่อสอนพวกเขา แต่แล้วเอลียาห์ก็ได้รับงานมอบหมายใหม่จากพระยะโฮวาให้ “ลุกขึ้นไปเฝ้าอาฮาบกษัตริย์ยิศราเอล” (1 กษัตริย์ 21:18) แล้วทำไมต้องไปหาอาฮาบ?
ตอนนี้อาฮาบกลายเป็นคนที่ทรยศต่อพระเจ้า เขาเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายที่สุดในแผ่นดินอิสราเอล เขาสมรสกับอีซาเบลซึ่งเป็นคนที่นำเอาการนมัสการพระบาอัลเข้ามา และทำให้ผู้คนรวมทั้งกษัตริย์อาฮาบหันเหไปจากพระเจ้า (1 กษัตริย์ 16:31-33) การนมัสการพระบาอัลเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเพื่อการเจริญพันธุ์ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับโสเภณี และถึงกับมีการบูชายัญเด็กด้วย แย่ยิ่งกว่านั้น อาฮาบเพิ่งขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าที่ให้ประหารชีวิตเบนฮะดัดกษัตริย์ของซีเรีย ที่อาฮาบไม่ยอมทำตามก็เพราะเขาเห็นเงินสำคัญกว่าพระเจ้า (1 กษัตริย์ บท 20) ตอนนี้อาฮาบและอีซาเบลถูกความบ้าวัตถุเงินทอง ความโลภ และความรุนแรงเข้าครอบงำชีวิตจิตใจจนหน้ามืดตามัว
อาฮาบมีพระราชวังที่โอ่อ่าอลังการในเมืองซะมาเรีย และยังมีพระราชวังอีกแห่งหนึ่งในเมืองยิศเรลซึ่งอยู่ห่างออกไป 37 กิโลเมตรด้วย ใกล้ ๆ กับวังแห่งที่สองนี้ มีสวนองุ่นอยู่แปลงหนึ่งซึ่งเป็นของชายที่ชื่อนาโบธ อาฮาบหมายตาไว้ว่าจะได้มาครอบครอง วันหนึ่ง อาฮาบเรียกนาโบธมาพบและเสนอว่าจะให้เงินก้อนหนึ่งแลกกับที่ดินแปลงนี้ แต่นาโบธตอบว่า “ขอพระยะโฮวาทรงห้ามข้าพเจ้า อย่าให้ขายสวนมรดกซึ่งได้รับจากปู่ย่าตายายให้แก่พระองค์” (1 กษัตริย์ 21:3) นาโบธแข็งขืนต่อกษัตริย์ไหม? เขาตอบแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเลยไหม? หลายคนอาจจะคิดอย่างนั้น ที่จริง นาโบธเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยะโฮวาที่ห้ามขายที่ดินซึ่งเป็นมรดกของวงศ์ตระกูลให้กับคนอื่น (เลวีติโก 25:23-28) รู้ทั้งรู้ว่าถ้าปฏิเสธอาฮาบ เขาจะต้องเจอกับอันตรายอะไรบ้าง แต่เพราะนาโบธเป็นคนกล้าหาญและมีความเชื่อ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า
แต่สำหรับอาฮาบ กฎหมายของพระยะโฮวาไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย เมื่อกลับเข้าวัง อาฮาบก็แสดงอาการ “กลัดกลุ้มและแค้นเคือง” ที่ไม่ได้ดั่งใจ พระคัมภีร์เล่าต่อไปว่า “อาฮาบก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยกระยาหาร” (1 กษัตริย์ 21:4) เมื่ออีซาเบลเห็นอาฮาบทำหน้าบึ้งตึงเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ เธอก็คิดแผนชั่วขึ้นมาทันทีเพื่อฮุบสวนนั้น และกำจัดครอบครัวของนาโบธชายผู้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะคิดแผนที่ชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้! ราชินีอีซาเบลรู้ดีว่ากฎหมายของพระเจ้ากำหนดไว้ว่าถ้าจะกล่าวโทษใครว่าทำผิดร้ายแรง จะต้องมีพยานยืนยันสองปาก (พระบัญญัติ 19:15) ดังนั้น เธอจึงเขียนจดหมายในนามของกษัตริย์อาฮาบให้ไปหาชายสองคนมาปรักปรำนาโบธ ด้วยข้อหาที่ว่าเขาพูดหยาบช้าต่อพระเจ้าและต่อกษัตริย์ซึ่งมีโทษถึงตาย แผนนี้ได้ผลดีเกินคาด ในที่สุดก็ได้ “คนเลว ๆ” สองคนมาใส่ร้ายนาโบธ เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกหินขว้างตาย ไม่ใช่แค่นาโบธเท่านั้น แต่ลูก ๆ ของเขาก็ถูกฆ่าตายด้วย! * (1 กษัตริย์ 21:5-14; เลวีติโก 24:16; 2 กษัตริย์ 9:26) ตอนนี้ อาฮาบสละความเป็นผู้นำครอบครัวทิ้งไปโดยปล่อยให้ภรรยาทำตามใจชอบและฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น
บทเพลงสรรเสริญ 73:3-5, 12, 13) ทุกวันนี้ เรามักจะเห็นความไม่ยุติธรรมอยู่บ่อย ๆ ซึ่งบางครั้งก็มาจากผู้มีอำนาจที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้า แต่เมื่ออ่านเรื่องนี้ เราจะได้รับกำลังใจมากขึ้นเพราะพระคัมภีร์ย้ำเตือนว่าพระยะโฮวามองเห็นทุกสิ่ง และไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากสายตาของพระองค์ได้ (ฮีบรู 4:13) พระองค์ทำอย่างไรเมื่อเห็นการทำชั่วช้าเช่นนั้น?
ลองคิดถึงความรู้สึกของเอลียาห์เมื่อพระยะโฮวาบอกให้เขารู้ว่ากษัตริย์กับราชินีได้ทำชั่วอะไรไปบ้าง เขาคงรู้สึกหดหู่ใจมากเมื่อเห็นคนดีถูกย่ำยี (“โอ ศัตรูของเรา เจ้าพบเราเข้าแล้วหรือ?”
พระยะโฮวาส่งเอลียาห์ไปหาอาฮาบพร้อมกับบอกว่า “ท่านอยู่ในสวนของนาโบธ” (1 กษัตริย์ 21:18) เมื่ออีซาเบลบอกอาฮาบว่าตอนนี้สวนองุ่นเป็นสมบัติของเขาแล้ว เขาก็ดีอกดีใจแล้วรีบออกไปชื่นชมสมบัติชิ้นใหม่ทันที เขาไม่เคยคิดเลยว่าพระยะโฮวาเฝ้าดูอยู่ ลองนึกภาพอาฮาบว่ากำลังเดินชมสวนองุ่นอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็พร่ำเพ้อว่าจะเนรมิตสวนให้งดงามดังใจ แล้วจู่ ๆ เอลียาห์ก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า! จากที่กำลังอารมณ์ดีมีความสุข เขาก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที แล้วเขาก็โพล่งออกมาว่า “โอ้ศัตรูของเรา เจ้าพบเราเข้าแล้วหรือ?”—1 กษัตริย์ 21:20, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน
คำพูดของอาฮาบเผยให้เห็นความโง่เขลาสองอย่างในตัวเขา อย่างแรก เมื่อเขาพูดกับเอลียาห์ว่า “เจ้าพบเราเข้าแล้วหรือ?” คำพูดของอาฮาบแสดงว่าเขาไม่เคยมีพระเจ้าอยู่ในความคิดจิตใจของเขาเลย แต่พระยะโฮวา “พบ” เขาแล้ว พระองค์เห็นอาฮาบเลือกเดินในทางผิด และกำลังชื่นชมกับผลงานจากแผนชั่วของอีซาเบล พระเจ้าเห็นว่าอาฮาบรักสมบัติมากจนใจของเขาไม่มีความเมตตา ความยุติธรรม และความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ อย่างที่สอง เมื่อพูดกับเอลียาห์ว่า “โอ ศัตรูของเรา!” อาฮาบกำลังแสดงว่าเขาเกลียดชังคนที่เป็นเพื่อนของพระยะโฮวาพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่จะช่วยเขาให้พ้นจากความหายนะ
เราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวของอาฮาบกษัตริย์ที่โง่เขลา เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาพระเจ้าเห็นทุกอย่างที่เราทำ พระยะโฮวาเป็นเหมือนพ่อที่รักเรา พระองค์รู้ว่าเรากำลังเดินออกนอกลู่นอกทาง และพระองค์ก็อยากเห็นเรากลับมาเดินในทางที่ถูกต้อง เพื่อช่วยเหลือเรา พระเจ้ามักจะใช้เพื่อนของพระองค์ซึ่งก็คือมนุษย์ที่ซื่อสัตย์อย่างเอลียาห์ ให้นำคำของพระเจ้ามาเตือนสติเพื่อนมนุษย์ นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมากที่จะมองว่าเพื่อนของพระเจ้าเป็นศัตรูของเรา!—บทเพลงสรรเสริญ 141:5
1 กษัตริย์ 21:20-26, ฉบับมาตรฐาน
ลองนึกภาพตอนที่เอลียาห์ตอบอาฮาบว่า “พบแล้ว” คือเขาพบว่าอาฮาบเป็นหัวขโมย เป็นฆาตกร และเป็นคนที่กบฏต่อพระยะโฮวาพระเจ้า เอลียาห์ใจเด็ดจริง ๆ ที่กล้าเผชิญหน้ากับคนชั่วขนาดนั้น! แล้วเอลียาห์ก็ประกาศคำพิพากษาของพระเจ้าต่ออาฮาบ พระยะโฮวาเห็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความชั่วที่เริ่มจากครอบครัวของอาฮาบก็เป็นเหมือนโรคระบาดที่แผ่ลามไปถึงผู้คนทั่วทั้งแผ่นดิน ดังนั้น เอลียาห์จึงบอกอาฮาบว่า พระเจ้าจะ “กวาดเจ้าออกไปเสียให้สิ้น” นี่เป็นประกาศิตจากพระเจ้าที่จะกำจัดวงศ์ตระกูลที่ชั่วช้าของอาฮาบให้สิ้นซาก—เอลียาห์ไม่ได้คิดเหมือนที่ผู้คนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้มักคิดกันว่า ถ้าทำชั่วแล้วไม่มีใครจับได้ ก็ไม่ต้องรับผลหรือถูกลงโทษ บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อเตือนใจเราว่า พระยะโฮวาพระเจ้าไม่เพียงแต่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พระองค์จะจัดการกับความไม่ยุติธรรมเมื่อถึงเวลาของพระองค์ พระคัมภีร์รับรองกับเราว่าวันที่พระเจ้าจะมาขจัดความไม่ยุติธรรมทุกรูปแบบจวนจะถึงแล้ว! (บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11) แต่คุณอาจสงสัยว่า ‘การพิพากษาของพระเจ้าจะมีแต่การลงโทษเท่านั้นหรือ? พระองค์จะมีความเมตตาบ้างไหม?’
“เจ้าได้เห็นอาฮาบถ่อมใจลงต่อเราอย่างไรหรือ?”
เอลียาห์คงต้องแปลกใจแน่ ๆ ที่เห็นท่าทีของอาฮาบหลังจากได้ฟังคำพิพากษาของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกว่า “เมื่ออาฮาบได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็ฉีกฉลองพระองค์ ทรงภูษาเนื้อหยาบไม่เสวยกระยาหาร ทรงภูษาเนื้อหยาบเข้าบรรทม เวลาดำเนินไปก็ดำเนินเบา ๆ” (1 กษัตริย์ 21:27) อาฮาบกลับใจจริงไหม?
อย่างน้อยเราก็พอจะบอกได้ว่าเขาเปลี่ยนท่าทีไปบ้าง อาฮาบยอมถ่อมตัวลงต่อพระเจ้า ซึ่งต้องเป็นที่เรื่องยากมากสำหรับคนที่หยิ่งยโสและโอหังอย่างเขา แต่อาฮาบสำนึกผิดและกลับใจจริง ๆ ไหม? ถ้าเทียบกับมะนาเซกษัตริย์องค์ก่อนที่อาจจะทำชั่วมากกว่าอาฮาบ แต่ตอนที่พระยะโฮวาตัดสินลงโทษมะนาเซ เขาก็ถ่อมตัวลงและร้องขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ยิ่งกว่านั้น เขาได้เปลี่ยนแนวทางชีวิตเสียใหม่ เขาได้กำจัดรูปเคารพที่เขาเองเคยสร้างไว้จนหมดสิ้น เขาทุ่มเทตัวเองเพื่อรับใช้พระยะโฮวา และถึงกับสั่งให้ประชาชนทำแบบเดียวกัน (2 โครนิกา 33:1-17) เราเห็นอาฮาบทำถึงขนาดนั้นไหม? น่าเสียดายที่เราไม่เห็นอาฮาบทำอย่างนี้เลย
พระยะโฮวาเห็นอาฮาบแสดงความเสียใจออกมาอย่างชัดเจนไหม? พระเจ้าบอกเอลียาห์ว่า “เจ้าได้เห็นอาฮาบถ่อมใจลงต่อเราอย่างไรหรือ? เหตุว่าเขาได้ถ่อมใจต่อเรา เราจะไม่บันดาลให้ภัยนั้นเกิดมาในวันคืนของเขา แต่เราจะนำความร้ายนั้นมาในยุคแห่งเชื้อวงศ์บุตรของเขา” (1 กษัตริย์ 21:29) พระยะโฮวาให้อภัยอาฮาบไหม? ไม่ พระยะโฮวาจะแสดงความเมตตาและให้อภัยก็ต่อเมื่อเห็นการกลับใจอย่างแท้จริงเท่านั้น (ยะเอศเคล 33:14-16) แต่เพราะอาฮาบก็แสดงความเสียใจอยู่บ้าง พระเจ้าจึงแสดงความเมตตาต่อเขาในระดับหนึ่ง อาฮาบจะไม่ได้เห็นความพินาศล่มจมของวงศ์ตระกูลในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่
พระยะโฮวาไม่ได้เปลี่ยนคำพิพากษาของพระองค์ พระยะโฮวาได้ปรึกษากับเหล่าทูตสวรรค์ว่าใครจะไปจูงใจอาฮาบให้ออกศึก เพื่อเขาจะได้ตายในสนามรบ ไม่นานหลังจากนั้น อาฮาบก็ได้รับโทษตามคำตัดสินของพระเจ้าจริง ๆ ระหว่างการสู้รบ อาฮาบได้รับบาดเจ็บ เลือดอาบท่วมตัวแล้วก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสิ้นใจตายบนรถม้าศึก บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เมื่อทหารนำรถม้าศึกไปล้างก็มีสุนัขหลายตัวมาเลียเลือดของกษัตริย์อาฮาบที่ติดกับรถนั้นตามที่พระเจ้าได้ลั่นวาจาไว้ คำที่พระยะโฮวาบอกกับเอลียาห์เกี่ยวกับอาฮาบก็สำเร็จเป็นจริงต่อหน้าต่อตาผู้คนที่ว่า “ในที่ซึ่งสุนัขได้เลียเลือดของนาโบธ ในที่นั้นสุนัขจะเลียเลือดของเจ้าเอง”—1 กษัตริย์ 21:19; 22:19-22, 34-38
สำหรับเอลียาห์ เอลีชา และคนดีที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าคนอื่น ๆ การตายของอาฮาบตอกย้ำความมั่นใจที่ว่าพระยะโฮวาไม่เคยลืมนาโบธบุรุษผู้กล้าหาญและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ พระเจ้าแห่งความยุติธรรมจะไม่มีวันปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ไม่ช้าก็เร็วพระเจ้าจะลงโทษคนพวกนั้นอย่างสาสม แต่ถ้าพระองค์เห็นการสำนึกผิดและกลับใจอย่างแท้จริง พระองค์ก็จะแสดงความเมตตาต่อพวกเขา (อาฤธโม 14:18) ช่างเป็นบทเรียนที่ให้กำลังใจจริง ๆ สำหรับเอลียาห์ที่ได้อดทนเป็นเวลานานหลายสิบปี ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่ชั่วช้า! คุณเคยตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมไหม? คุณเฝ้ารอวันที่พระเจ้าจะจัดการปัญหาทุกอย่างให้ถูกต้องไหม? คุณสามารถเลียนแบบความเชื่อของเอลียาห์ได้ การมีเพื่อนเป็นคนดีและซื่อสัตย์อย่างเอลีชาทำให้เอลียาห์ยังคงอดทนและประกาศข่าวสารของพระเจ้าต่อ ๆ ไปได้แม้ต้องเผชิญกับความไม่ยุติธรรม!
^ วรรค 3 พระยะโฮวาใช้ความแห้งแล้งที่ยาวนานสามปีครึ่งเพื่อเปิดโปงว่าพระบาอัลที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสายฝนและความอุดมสมบูรณ์ที่แท้แล้วไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไรเลย (1 พงศาวดารกษัตริย์ บท 18) ดูเพิ่มเติมที่บทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา” หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคม และ 1 เมษายน 2008
^ วรรค 13 อาจเป็นได้ที่อีซาเบลกลัวว่ากรรมสิทธิ์ของที่ดินจะตกไปถึงลูก ๆ ของนาโบธ เธอจึงวางแผนฆ่าลูกชายของนาโบธด้วย หากคุณสงสัยว่าทำไมพระเจ้ายอมให้ผู้บริสุทธิ์ถูกข่มเหงรังแก เชิญอ่านคำตอบได้ที่บทความ “ผู้อ่านอยากรู้” ในวารสารฉบับนี้