ท่านเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของท่าน
จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
ท่านเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของท่าน
โยนาห์อยากจะทำให้เสียงที่น่ากลัวเหล่านั้นเงียบลงเสียที. ไม่ใช่เพียงเสียงลมกรรโชกแรงที่ดังหวีดหวิวผ่านสายระโยงเรือเท่านั้น และไม่ใช่เพียงเสียงคลื่นลูกยักษ์ราวกับภูเขาที่ซัดกระแทกอยู่ข้างลำเรือและทำให้ไม้ทุกท่อนของเรือดังเอี๊ยดอ๊าด. แต่สิ่งที่ทำให้โยนาห์รู้สึกแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือเสียงโหวกเหวกของชาวเรือ ทั้งกัปตันและลูกเรือที่พยายามจะประคองเรือเอาไว้ไม่ให้จม. โยนาห์เชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องตายแน่ และเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะตัวท่านเอง!
ทำไมโยนาห์จึงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้? ก็เพราะท่านได้ทำผิดต่อพระยะโฮวา พระเจ้าของท่าน. ท่านได้ทำอะไรหรือ? เรื่องร้ายแรงเกินกว่าจะแก้ไขไหม? เราจะเรียนได้หลายอย่างจากคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้. ตัวอย่างเช่น เรื่องของโยนาห์ช่วยให้เราเห็นว่าแม้แต่คนที่มีความเชื่อแท้ก็อาจพลาดพลั้งได้—และเห็นว่าพวกเขาจะแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นได้อย่างไร.
ผู้พยากรณ์จากแกลิลี
เมื่อนึกถึงโยนาห์ คนทั่วไปมักจะนึกถึงลักษณะนิสัยในด้านลบของท่าน เช่น การที่ท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือแม้แต่ความดื้อรั้นของท่าน. แต่ชีวิตของโยนาห์ยังมีอะไรอีกมากที่เราควรรู้. อย่าลืมว่าโยนาห์เป็นผู้ที่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้พยากรณ์ของพระองค์. พระยะโฮวาคงจะไม่เลือกท่านให้ทำงานที่มีความรับผิดชอบสูงเช่นนั้นแน่ถ้าท่านเป็นคนไม่ซื่อสัตย์หรือไม่ชอบธรรม.
ที่ 2 กษัตริย์ 14:25 เราได้ทราบบางสิ่งเกี่ยวกับภูมิหลังของโยนาห์. ท่านมาจากเมืองกาท-เฮเฟอร์ (ฆัธเอเฟร) ซึ่งอยู่ห่างไปเพียงสี่กิโลเมตรจากเมืองนาซาเรทที่พระเยซูคริสต์ทรงเจริญวัยอีกประมาณแปดร้อยปีต่อมา. * โยนาห์ทำงานเป็นผู้พยากรณ์ระหว่างรัชกาลของกษัตริย์ยาระบะอามที่ 2 ผู้ปกครองอาณาจักรอิสราเอลสิบตระกูลทางเหนือ. สมัยของเอลียาห์ผ่านไปนานแล้ว และเอลีชา (อะลีซา) ผู้สืบตำแหน่งจากท่านก็เสียชีวิตไปแล้วในช่วงรัชกาลแห่งราชบิดาของยาระบะอาม. ถึงแม้ว่าพระยะโฮวาจะใช้ผู้พยากรณ์ทั้งสองให้กวาดล้างการนมัสการบาละแล้ว แต่ชาวอิสราเอลก็ยังจงใจจะทำผิดอีก. แผ่นดินอิสราเอลในเวลานั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของกษัตริย์ผู้ “ประพฤติชั่วร้ายในคลองพระเนตรแห่งพระยะโฮวา.” (2 กษัตริย์ 14:24) ดังนั้น งานของโยนาห์คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือน่ายินดีแน่ ๆ. แต่ท่านก็ยังทำงานนั้นด้วยความซื่อสัตย์.
แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของโยนาห์ก็มาถึงจุดพลิกผันเมื่อท่านได้รับมอบหมายจากพระยะโฮวาให้ทำงานที่ท่านรู้สึกว่ายากลำบากมากจริง ๆ. พระยะโฮวาบอกให้ท่านทำอะไร?
“จงลุกขึ้นไปยังนีนะเว”
พระยะโฮวาทรงบอกโยนาห์ว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวกรุงใหญ่นั้น, และร้องประกาศต่อว่าชาวกรุงนั้น, เนื่องด้วยความชั่วของพวกเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าเราแล้ว.” (โยนา 1:2) เราเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมงานมอบหมายนี้จึงน่าหวาดหวั่น. กรุงนีเนเวห์ (นีนะเว) ตั้งอยู่ห่างจากอิสราเอลไปทางตะวันออกประมาณ 800 กิโลเมตร ซึ่งคงจะใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งเดือน. แต่ความยากลำบากในการเดินทางดู จะเป็นเรื่องง่ายไปถนัดเมื่อเทียบกับงานในส่วนอื่น ๆ. โยนาห์จะต้องไปที่นีเนเวห์เพื่อประกาศคำพิพากษาของพระยะโฮวาแก่ชาวอัสซีเรียซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนรุนแรงและกระทั่งโหดเหี้ยมทารุณด้วยซ้ำ. ถ้าก่อนหน้านี้โยนาห์ได้รับการตอบรับเพียงเล็กน้อยในหมู่ประชาชนของพระเจ้า แล้วท่านจะคาดหวังอะไรได้จากคนนอกรีตพวกนั้น? ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องทำงานเพียงลำพังในนีเนเวห์อันกว้างใหญ่ซึ่งต่อมาจะได้ชื่อว่า “นครอันแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต.”—นาฮูม 3:1, 7.
โยนาห์คงได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้. แต่เราก็ไม่รู้จริง ๆ. ที่เรารู้ก็คือท่านได้หนีไปอีกทางหนึ่ง. พระยะโฮวาทรงสั่งให้โยนาห์ไปทางตะวันออก แต่โยนาห์มุ่งหน้าไปทางตะวันตก และไปไกลที่สุดเท่าที่ท่านจะไปได้. ท่านไปที่ชายฝั่งทะเล ถึงเมืองท่าชื่อยบเป แล้วก็พบเรือลำหนึ่งที่กำลังจะเดินทางไปเมืองทาร์ชิช (ธาระซิศ). ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าเมืองทาร์ชิชอยู่ในประเทศสเปน. ถ้าเป็นเช่นนั้น โยนาห์ก็กำลังมุ่งหน้าไปไกลจากนีเนเวห์ถึง 3,500 กิโลเมตร. การเดินทางไปจนสุดฝั่งตะวันตกของทะเลใหญ่ (ชื่อเรียกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในสมัยนั้น) อาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี! โยนาห์ตั้งใจจะหนีจากงานที่พระยะโฮวาทรงมอบหมายให้ท่านทำไปไกลขนาดนั้นเลยทีเดียว!
นี่หมายความว่าเราจะถือว่าโยนาห์เป็นคนขี้ขลาดไหม? เราไม่ควรด่วนตัดสินท่าน. ดังที่เราจะได้เห็น ท่านสามารถแสดงความกล้าหาญอย่างน่าทึ่งได้ด้วย. แต่ก็เช่นเดียวกับเราทุกคน โยนาห์เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งอาจมีข้ออ่อนแอหลายประการ. (บทเพลงสรรเสริญ 51:5) มีใครในพวกเราหรือที่ไม่เคยต่อสู้กับความกลัว?
บางครั้งอาจดูเหมือนว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เราทำนั้นเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ. เราอาจถึงกับรู้สึกกลัวที่จะประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของคริสเตียน. (มัดธาย 24:14) เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่เราจะลืมความจริงที่สำคัญยิ่งซึ่งพระเยซูเคยตรัสไว้ ที่ว่า “พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้.” (มาระโก 10:27) ถ้าเราเองหลงลืมความจริงข้อนี้เป็นครั้งคราว เราก็คงเข้าใจความทุกข์ที่โยนาห์ประสบ. แต่การหนีของโยนาห์ก่อผลเช่นไร?
พระยะโฮวาทรงตีสอนผู้พยากรณ์ที่ดื้อรั้น
เราคงนึกภาพออกว่าโยนาห์ได้ลงเรือลำนั้น ซึ่งอาจเป็นเรือสินค้าของชาวฟินิเซีย. ท่านมองดูกัปตันและพวกลูกเรือที่กำลังวุ่นวายกับการบังคับเรือให้ออกจากท่า. ขณะที่แนวชายฝั่งค่อย ๆ ห่างออกไปจนมองไม่เห็นในที่สุด โยนาห์คงคิดว่าท่านจะหนีจากภัยที่ท่านหวาดกลัวมากไปได้. แต่ทันใดนั้นสภาพอากาศก็เปลี่ยนไป.
กระแสลมที่พัดแรงทำให้ทะเลปั่นป่วนรุนแรงราวกับอยู่ในฝันร้ายและคลื่นใหญ่นั้นก็อาจทำให้เรือในปัจจุบันดูเล็กโยนา 1:4; เลวีติโก 19:4) แล้วโยนาห์จะอธิษฐานถึงพระเจ้าที่ท่านหนีมาได้อย่างไร?
ไปเลยด้วยซ้ำ. ไม่นานเรือที่สร้างด้วยไม้นั้นก็ดูเล็กกระจ้อยและบอบบางเมื่อเทียบกับคลื่นที่ปั่นป่วนขนาดยักษ์. ตอนนั้นโยนาห์รู้อย่างที่ท่านได้เขียนในเวลาต่อมาไหม ที่ว่า “พระยะโฮวาทรงขับกระแสลมใหญ่ให้พัดผ่านทะเลไป”? เราไม่อาจทราบได้. แต่ท่านได้เห็นชาวเรือพากันร้องขอความช่วยเหลือจากพระทั้งหลายของพวกเขา และท่านรู้ว่าพระเหล่านั้นไม่สามารถช่วยได้. บันทึกของท่านบอกว่า “กำปั่นลำนั้นจวนจะอับปาง.” (โยนาห์รู้สึกว่าท่านไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ จึงลงไปใต้ดาดฟ้าเรือแล้วหาที่ล้มตัวลงนอน. โยนาห์หลับสนิทอย่างรวดเร็ว. * กัปตันมาพบท่านจึงปลุกให้ตื่น แล้วบอกให้ท่านอธิษฐานถึงพระของท่านเหมือนที่คนอื่น ๆ กำลังทำอยู่. พวกชาวเรือมั่นใจว่าพายุนี้เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ พวกเขาจึงจับฉลากกันเพื่อจะรู้ว่าใครที่อยู่บนเรืออาจเป็นต้นเหตุของภัยอันตรายครั้งนี้. ไม่ต้องสงสัยว่าโยนาห์คงจะรู้สึกใจหายเมื่อฉลากถูกจับไปทีละอัน ๆ และยังไม่พบตัวต้นเหตุ. ไม่ช้าความจริงก็ปรากฏ. พระยะโฮวาคือผู้ที่ทำให้เกิดพายุนี้และเป็นผู้ทำให้ฉลากตกอยู่กับชายคนหนึ่ง คือโยนาห์นั่นเอง!—โยนา 1:5-7.
โยนาห์เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกกะลาสีฟัง. ท่านเล่าว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่. พระองค์คือพระเจ้าที่ท่านหนีมาและท่านทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัย พวกเขาทุกคนจึงต้องตกอยู่ในภัยอันตรายที่น่ากลัวเช่นนี้. คนเหล่านั้นตกใจกลัวมาก โยนาห์มองเห็นความหวาดกลัวได้ในแววตาของพวกเขา. พวกเขาถามโยนาห์ว่าควรทำอย่างไรกับท่านเพื่อเรือจะไม่จมและพวกเขาจะรอดชีวิต. ท่านตอบอย่างไร? โยนาห์คงจะสั่นสะท้านเมื่อคิดว่าตนเองจะต้องจมน้ำตายในทะเลที่เย็นยะเยือกและบ้าคลั่งนั้น. แต่ท่านจะปล่อยให้คนเหล่านี้ประสบความตายเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อท่านรู้ว่าท่านสามารถช่วยพวกเขาได้? โยนาห์จึงพูดว่า “จงจับตัวเราโยนลงไปในทะเลก็แล้วกัน, ทะเลก็จะสงบลง, เพราะเรารู้อยู่ว่าที่ทะเลเกิดปั่นป่วนเช่นนี้ก็เนื่องมาจากตัวเรานี่เอง.”—โยนา 1:12.
นี่ไม่ใช่คำพูดของคนขี้ขลาดเลยใช่ไหม? พระยะโฮวาคงจะปลาบปลื้มพระทัยเมื่อเห็นความกล้าหาญและน้ำใจเสียสละของโยนาห์ในเวลาคับขันเช่นนี้. เหตุการณ์ตอนนี้ทำให้เราเห็นความเชื่อที่เข้มแข็งของโยนาห์. ทุกวันนี้เราสามารถเลียนแบบท่านได้โดยให้สวัสดิภาพของผู้อื่นมาก่อนของเราเอง. (โยฮัน 13:34, 35) เมื่อเราเห็นคนที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าในด้านร่างกาย, อารมณ์หรือความเชื่อ เราเสนอตัวช่วยเหลือเขาไหม? ถ้าเราทำเช่นนั้นพระยะโฮวาจะทรงพอพระทัยเราสักเพียงไร!
บางทีกะลาสีเรือเหล่านั้นอาจรู้สึกซาบซึ้งใจด้วย เพราะในตอนแรกพวกเขาไม่ยอมทำตามที่โยนาห์บอก! แทนที่จับโยนาห์โยนลงทะเล พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรับมือกับพายุ แต่ก็ไม่ได้ผล. พายุยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ. ในที่สุด เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเขาจึงวิงวอนต่อพระเจ้าของโยนาห์ให้โปรดเมตตาพวกเขา แล้วก็จับตัวโยนาห์โยนข้ามกราบเรือทิ้งลงทะเลไป.—โยนา 1:13-15.
โยนาห์ได้รับพระเมตตาและการช่วยให้รอด
โยนาห์ตกลงไปในคลื่นที่กำลังบ้าคลั่ง. ท่านอาจพยายามกระเสือกกระสนให้ตัวลอยอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมองผ่านฟองคลื่นกับน้ำที่แตกกระเซ็น ท่านก็เห็นเรือกำปั่นแล่นห่างออกไปอย่างรวดเร็ว. แต่แล้วคลื่นระลอกใหญ่ก็โถมซัดมาบนตัวท่าน ทำให้ท่านจมลงไปใต้น้ำ. ท่านจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ และรู้ตัวว่าไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว.
ต่อมาภายหลังโยนาห์ได้พรรณนาถึงความรู้สึกของท่านในตอนนั้น. ภาพต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของท่าน. ท่านเศร้าเสียใจเมื่อคิดว่าท่านจะไม่ได้เห็นพระวิหารอันงดงามของพระยะโฮวาที่กรุงเยรูซาเลมอีกต่อไปแล้ว. ท่านรู้สึกว่าตัวเองจมลงไปลึกมาก จนเกือบถึงฐานภูเขาที่อยู่ใต้น้ำ แล้วก็มีต้นสาหร่ายมาพันตัวท่าน. ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นหลุมฝังศพของท่านเสียแล้ว.—โยนา 2:2-6.
แต่เดี๋ยวก่อน! มีอะไรบางอย่างเคลื่อนเข้ามาใกล้—มันคือสิ่งมีชีวิตตัวมหึมาซึ่งเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆ. มันเข้ามาใกล้แล้วพุ่งตรงมาที่ท่าน. ปากที่ใหญ่โตของมันอ้าออกและกลืนตัวท่านเข้าไป!
ชีวิตของท่านคงต้องสิ้นสุดเพียงเท่านี้. แต่โยนาห์รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ. ท่านยังมีชีวิตอยู่! กระดูกของท่านไม่ได้หัก, ท่านไม่ได้ถูกย่อย และก็ยังหายใจได้ด้วยซ้ำ. ท่านยังมีลมหายใจ ถึงแม้จะอยู่ในที่ซึ่งน่าจะเป็นหลุมศพของท่าน. โยนาห์เกิดความรู้สึกเกรงขามมากขึ้นเรื่อย ๆ. ไม่ต้องสงสัยว่า คงต้องเป็นพระยะโฮวา พระเจ้าของท่านแน่ ๆ ที่ได้ “เตรียมปลาใหญ่ไว้ตัวหนึ่งสำหรับให้กลืนโยนาเข้าไป.”หลายนาทีผ่านไป กลายเป็นหลายชั่วโมง. ณ ที่นั่น ในความมืดมิดที่ลึกที่สุดเท่าที่โยนาห์เคยรู้เคยเห็น ท่านได้คิดใคร่ครวญและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้า. คำอธิษฐานของท่านซึ่งมีบันทึกไว้ทั้งหมดในหนังสือโยนาห์บทสองทำให้เราได้ทราบอะไรหลายอย่าง. บันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโยนาห์มีความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์มากทีเดียว เพราะท่านกล่าวถึงบทเพลงสรรเสริญบ่อย ๆ. นอกจากนี้ บันทึกของโยนาห์ยังแสดงให้เห็นคุณลักษณะที่น่าประทับใจอย่างหนึ่งของท่าน นั่นคือความกตัญญูรู้คุณ. โยนาห์สรุปว่า “ฝ่ายข้าพเจ้าถวายเครื่องบูชาแก่พระองค์ด้วยออกเสียงขอบพระคุณพระองค์, ข้าพเจ้าจะแก้สินบนในส่วนที่ข้าพเจ้าได้บนบานไว้; ความรอดนั้นมาจากพระยะโฮวา.”—โยนา 2:9.
โยนาได้เรียนรู้ว่าความรอดเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่ใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ และเมื่อไรก็ได้. แม้แต่ “ในท้องปลา” พระยะโฮวาก็ยังพบผู้รับใช้ของพระองค์ที่กำลังเดือดร้อนและทรงช่วยเขาให้รอด. (โยนา 1:17) มีเพียงพระยะโฮวาองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยให้มนุษย์อยู่รอดปลอดภัยได้ถึงสามวันสามคืนในท้องปลาใหญ่. นับว่าดีที่พวกเราในทุกวันนี้จะจำไว้ว่า พระยะโฮวาทรง “กำชีวิตของ [คุณ] ไว้ในอุ้งพระหัตถ์.” (ดานิเอล 5:23) เราเป็นหนี้พระองค์สำหรับทุกลมหายใจเข้าออกและชีวิตที่ยังเป็นอยู่. เราสำนึกในพระคุณของพระองค์ไหม? ถ้าเช่นนั้น เราควรต้องเชื่อฟังพระองค์มิใช่หรือ?
จะว่าอย่างไรสำหรับโยนาห์? ท่านได้เรียนที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระยะโฮวาด้วยการเชื่อฟังพระองค์ไหม? แน่นอน. หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน ปลาใหญ่ก็พาโยนาห์มาที่ฝั่งและ “สำรอกโยนาออกไว้บนดินแห้ง.” (โยนา 2:10) คิดดูสิ หลังจากผ่านสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นแล้ว โยนาห์ยังไม่ต้องว่ายน้ำขึ้นฝั่งเองด้วยซ้ำ! แต่แน่ละ เมื่อขึ้นฝั่งแล้วท่านก็ต้องหาทางไปต่อด้วยตนเอง ไม่ว่าที่นั่นคือที่ไหน. แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความกตัญญูรู้คุณของโยนาห์ก็ถูกทดสอบ. โยนา 3:1, 2 บอกว่า “เมื่อนั้นคำของพระยะโฮวามายังโยนาครั้งที่สองว่า, ‘จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวกรุงใหญ่นั้น, และป่าวประกาศแก่กรุงนั้นตามข้อความที่เราสั่งให้เจ้าประกาศนั้น.’ ” โยนาห์จะทำอย่างไร?
โยนาห์ไม่ลังเลเลย. เราอ่านว่า “โยนาก็ได้ลุกขึ้น, และได้ไปยังกรุงนีนะเว, ตามคำสั่งของพระยะโฮวา.” (โยนา 3:3) ใช่แล้ว โยนาห์เชื่อฟัง. เห็นได้ชัดว่าท่านได้บทเรียนจากความผิดพลาดของท่าน. เราจำเป็นต้องเลียนแบบความเชื่อของโยนาห์ในเรื่องนี้ด้วย. เราทุกคนล้วนเป็นคนบาป และต่างก็ทำผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น. (โรม 3:23) แต่เราจะเลิกล้มความพยายามไหม? หรือว่าเราจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเราแล้วหันกลับมารับใช้พระเจ้าอย่างเชื่อฟัง?
พระยะโฮวาทรงตอบแทนโยนาห์ไหมสำหรับการเชื่อฟังของท่าน? แน่นอนทีเดียว. ประการหนึ่ง ดูเหมือนว่าโยนาห์ได้ทราบในภายหลังว่ากะลาสีเหล่านั้นรอดชีวิต. พายุสงบลงทันทีหลังจากที่โยนาห์ยอมถูกโยนลงในทะเล และชาวเรือเหล่านั้นก็ “ยำเกรงพระยะโฮวาเป็นที่ยิ่ง” และได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์แทนที่จะถวายแด่พระเท็จของพวกเขา.—โยนา 1:15, 16.
สิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าตามมาหลังจากนั้นอีกนาน. พระเยซูทรงใช้ช่วงเวลาที่โยนาห์อยู่ในปลาใหญ่เป็นภาพพยากรณ์ถึงช่วงเวลาที่พระองค์เองจะทรงอยู่ในหลุมศพ หรือเชโอล. (มัดธาย 12:38-40) คงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเพียงไรสำหรับโยนาห์ที่จะได้ทราบเกี่ยวกับพระพรนี้เมื่อท่านได้รับการปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งบนแผ่นดินโลก! (โยฮัน 5:28, 29) พระยะโฮวาทรงประสงค์จะอวยพรคุณเช่นกัน. คุณจะทำเหมือนกับโยนาห์โดยเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองและแสดงให้เห็นว่าคุณเชื่อฟังและมีน้ำใจเสียสละไหม?
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 การที่โยนาห์มาจากแคว้นแกลิลีเป็นเรื่องที่น่าสังเกตเป็นพิเศษ เพราะพวกฟาริซายได้พูดในเชิงดูถูกเกี่ยวกับพระเยซูในเวลาต่อมาว่า “ค้นดูสิแล้วจะพบว่า จะไม่มีผู้พยากรณ์สักคนมาจากแกลิลี.” (โยฮัน 7:52) ผู้แปลและนักค้นคว้าหลายคนให้ความเห็นว่าในข้อนี้พวกฟาริซายกำลังพูดแบบเหมารวมว่า ไม่เคยมีและจะไม่มีวันมีผู้พยากรณ์คนใดมาจากแคว้นแกลิลีที่ต่ำต้อย. ถ้าพวกฟาริซายหมายความอย่างนั้นจริง ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์และคำพยากรณ์เลย.—ยะซายา 9:1, 2.
^ วรรค 17 ฉบับเซปตัวจินต์เน้นว่าโยนาห์นอนหลับสนิทมากโดยเพิ่มข้อความว่าท่านกรนด้วย. อย่างไรก็ตาม แทนที่จะมองว่าการนอนหลับของโยนาห์แสดงว่าท่านไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราคงจำได้ว่าบางครั้งความรู้สึกอยากนอนก็เกิดขึ้นได้กับคนที่กำลังเป็นทุกข์อย่างยิ่ง. ระหว่างหลายชั่วโมงที่พระเยซูทรงทุกข์ทรมานพระทัยอยู่ในสวนเกทเซมาเน เปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันได้ “หลับไปเนื่องด้วยความโศกเศร้า.”—ลูกา 22:45.
^ วรรค 25 เมื่อแปลเป็นภาษากรีก คำภาษาฮีบรู “ปลา” มีการแปลว่า “สัตว์ทะเลตัวใหญ่” หรือ “ปลายักษ์.” ถึงแม้เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าสัตว์ทะเลที่กลืนโยนาห์เข้าไปคือตัวอะไรกันแน่ แต่มีการสังเกตว่าปลาฉลามบางชนิดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีขนาดใหญ่พอที่จะกลืนคนได้ทั้งคน. ปลาฉลามในทะเลอื่นก็มีขนาดใหญ่กว่านั้นมาก เช่น ฉลามวาฬอาจมีความยาวถึง 15 เมตรหรือยาวกว่านั้นด้วยซ้ำ!
[กรอบ/ภาพหน้า 29]
โยนาห์เผชิญหน้ากับนักวิจารณ์
▪ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่บันทึกในหนังสือของโยนาห์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงไหม? หนังสือเล่มนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว. ในการวิจารณ์คัมภีร์ไบเบิลสมัยปัจจุบัน หนังสือของโยนาห์มักถูกมองว่าเชื่อถือไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นนิทาน, ตำนาน, นิยายปรัมปราหรือเรื่องแต่ง. นักเขียนในศตวรรษที่ 19 คนหนึ่งรายงานว่า มีนักเทศน์คนหนึ่งอธิบายเรื่องของโยนาห์และปลาใหญ่ว่าเป็นเรื่องเปรียบเทียบที่แปลกประหลาด โดยบอกว่าโยนาห์ได้ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองยบเปชื่อว่า โรงแรมวาฬ. เมื่อท่านไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าห้องพัก เจ้าของโรงแรมจึงไล่ท่านออกมา. นี่แหละคือการที่โยนาห์ถูกวาฬตัวหนึ่ง “กลืนเข้าไป” แล้ว “สำรอก” ออกมา! ที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกนักวิจารณ์จ้องจะเขมือบโยนาห์ยิ่งกว่าปลาใหญ่ตัวนั้นเสียอีก!
ทำไมหนังสือของโยนาห์จึงทำให้เกิดข้อกังขามากมาย? ก็เพราะหนังสือเล่มนี้พูดเรื่องการอัศจรรย์. ดูเหมือนว่า เมื่ออ่านพบเรื่องการอัศจรรย์ นักวิจารณ์หลายคนก็ลงความเห็นไปก่อนแล้วว่า เรื่องเช่นนั้นไม่มีทางจะเป็นไปได้. แต่การลงความเห็นอย่างนั้นสมเหตุสมผลจริง ๆ ไหม? ลองถามตัวคุณเองดังนี้: ‘ฉันเชื่อประโยคแรกของคัมภีร์ไบเบิลไหม?’ ประโยคนั้นกล่าวว่า “เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน.” (เยเนซิศ 1:1) หลายล้านคนทั่วโลกซึ่งเป็นคนมีเหตุผลยอมรับความจริงที่เรียบง่ายนี้. แต่ในแง่หนึ่ง ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวมีความหมายครอบคลุมยิ่งกว่าการอัศจรรย์ใด ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงในเวลาต่อมาเสียอีก.
คิดดูซิว่า สำหรับพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวรวมทั้งสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนน่าทึ่งทั้งสิ้นในโลกนี้ มีตอนใดในหนังสือของโยนาห์หรือที่จะเป็นไปไม่ได้? การทำให้เกิดพายุหรือ? การสั่งให้ปลากลืนคนเข้าไปหรือ? หรือการทำให้ปลาตัวเดียวกันนี้สำรอกคนนั้นออกมาอีก? สำหรับพระผู้มีฤทธิ์อันไร้ขีดจำกัด การทำสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย.—ยะซายา 40:26.
แม้แต่เมื่อพระเจ้าไม่ได้ใช้อำนาจเข้าแทรกแซง บางครั้งก็มีสิ่งน่าพิศวงเกิดขึ้นได้. ตัวอย่างเช่น ในปี 1758 ว่ากันว่ามีกะลาสีคนหนึ่งตกจากเรือของเขาลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและถูกฉลามตัวหนึ่งกลืนเข้าไป. อย่างไรก็ตาม มีการยิงปืนใหญ่ไปที่ฉลามตัวนั้น. ลูกปืนถูกตัวฉลามทำให้มันคายกะลาสีคนนั้นออกมา. เขาถูกดึงขึ้นมาจากทะเลและรอดชีวิตมาได้โดยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย. หากเรื่องนี้เป็นความจริง เราคงถือว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก และอาจรู้สึกพิศวงเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการอัศจรรย์. แล้วพระเจ้าจะใช้อำนาจของพระองค์ทำอะไรที่น่าอัศจรรย์กว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ?
พวกที่ช่างสงสัยยังยืนยันด้วยว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจะอยู่ในท้องปลาได้ถึงสามวันโดยไม่ตายเพราะขาดอากาศหายใจ. อย่างไรก็ตาม มนุษย์ฉลาดพอที่จะหาวิธีอัดอากาศเข้าไปในถังและใช้มันสำหรับหายใจใต้น้ำเป็นเวลานาน ๆ ได้. แล้วพระเจ้าผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าและมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้จะช่วยโยนาห์ให้มีชีวิตและมีอากาศหายใจอยู่นานสามวันไม่ได้หรือ? เป็นจริงดังที่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาเคยบอกกับมาเรียมารดาของพระเยซูว่า “ไม่มีคำตรัสใดที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จไม่ได้.”—ลูกา 1:37.
มีอะไรอีกที่แสดงว่าหนังสือของโยนาห์เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแม่นยำ? คำพรรณนาของโยนาห์เกี่ยวกับเรือและลูกเรือนั้นละเอียดลออและสมจริง. ที่โยนา 1:5 เราเห็นว่าพวกกะลาสีได้โยนสัมภาระบนเรือทิ้งลงทะเลเพื่อทำให้เรือเบาขึ้น. นักประวัติศาสตร์สมัยโบราณและแม้แต่กฎหมายของพวกรับบีก็แสดงว่าชาวเรือมักจะทำเช่นนั้นเมื่อเจอสภาพอากาศที่เลวร้าย. คำพรรณนาของโยนาห์ในเวลาต่อมาเกี่ยวกับเมืองนีเนเวห์ก็ตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี. อย่างไรก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงการที่โยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันว่าเป็นภาพพยากรณ์ที่แสดงถึงการที่พระองค์เองจะอยู่ในหลุมศพ. (มัดธาย 12:38-40) คำตรัสของพระเยซูคือหลักฐานที่ยืนยันว่าเรื่องราวของโยนาห์เป็นความจริง.
“เพราะไม่มีคำตรัสใดที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จไม่ได้.”—ลูกา 1:37
[ภาพหน้า 26]
กะลาสีจับตัวโยนาห์โยนลงทะเลตามที่ท่านบอก