ได้รับประโยชน์จากการติดตามค่านิยมฝ่ายวิญญาณ
ได้รับประโยชน์จากการติดตามค่านิยมฝ่ายวิญญาณ
“คนรักเงิน, ไม่อิ่มด้วยเงิน; และคนรักกำไร, ไม่รู้อิ่มด้วยความมั่งคั่ง.”—ท่านผู้ประกาศ 5:10.
การทำงานมากเกินไปอาจนำไปสู่ความเครียด และความเครียดอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ, บางครั้งทำให้ถึงแก่ความตาย. ในหลายประเทศ ครอบครัวแตกแยกเนื่องจากการหย่าร้าง. บ่อยครั้งความกังวลเกินไปเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมดังกล่าว. แทนที่จะชื่นชมกับสิ่งที่เขามีอยู่ คนที่หมกมุ่นอยู่กับการได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติอาจพบว่าตัวเองต้องการมากขึ้นเสมอ โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับสวัสดิภาพของเขา. หนังสือคู่มือช่วยเหลือตัวเองเล่มหนึ่งกล่าวว่า “การพยายามทำตัวให้เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนบ้านเสมอเป็นงานอดิเรกที่ทำกันอย่างกว้างขวางในประเทศ ถึงแม้เพื่อนบ้านคนนั้นเป็นคนบ้างานซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจก่อนวัยอันควร.”
การแสวงหาทรัพย์สมบัติมากขึ้นอาจทำให้คนเราไม่รู้จักพอ ปล้นความยินดีใด ๆ ซึ่งเขาอาจได้ประสบหากไม่แสวงหาสมบัติมากเกินไป. จุดอ่อนของคนเราในเรื่องนี้ถูกแสวงประโยชน์อยู่เนือง ๆ จากพลังที่มีอานุภาพ ซึ่งก็คือการโฆษณานั่นเอง! รายการโฆษณาทางโทรทัศน์และวิทยุเต็มไป
ด้วยการเร่งเร้าให้คุณซื้อสิ่งของที่คุณอาจไม่จำเป็นต้องมีและเป็นสิ่งที่คุณอาจถึงกับไม่มีเงินพอที่จะซื้อได้ด้วยซ้ำ. ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่ความเสียหายได้มากทีเดียว.การทำตามใจตัวเองโดยไม่มีการเหนี่ยวรั้งอาจก่อผลที่มองไม่เห็นชัด ทว่าก็ยังความเสียหายร้ายแรงแก่เรา ทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านศีลธรรม. ตัวอย่างเช่น กษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ใจที่สงบเป็นความจำเริญชีวิตฝ่ายกาย.” (สุภาษิต 14:30) ตรงกันข้าม การทุ่มเทมากเกินไป, ความกังวล, และความกดดันที่เกิดจากการสะสมความมั่งคั่งด้านวัตถุอาจทำลายสุขภาพและความสุขของเราได้. นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ ยังเสียหายด้วยเมื่อเป้าหมายทางด้านวัตถุครอบงำชีวิตเรา. และเมื่อชีวิตครอบครัวและชีวิตสังคมของคนเราเสื่อมลง คุณภาพชีวิตของเขาโดยรวมก็เสื่อมลงด้วย.
ความเหนือกว่าของค่านิยมฝ่ายวิญญาณ
อัครสาวกเปาโลได้กระตุ้นเตือนหลายศตวรรษมาแล้วว่า “อย่าประพฤติตามอย่างชาวโลกนี้.” (โรม 12:2) โลกรักคนเหล่านั้นที่ทำตามค่านิยมของโลก. (โยฮัน 15:19) โลกพยายามจะดึงดูดประสาทรับรู้ของคุณในการมองเห็น, สัมผัส, ลิ้มรส, ดมกลิ่น, และได้ยิน—ใช่แล้วเพื่อให้รับเอารูปแบบชีวิตที่ฝักใฝ่วัตถุ. มีการเน้นเรื่อง “ความใคร่ [“ความปรารถนา,” ล.ม.] ของตา” เพื่อคุณและคนอื่นจะมุ่งติดตามผลประโยชน์ทางด้านวัตถุ.—1 โยฮัน 2:15-17.
แต่มีสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเงิน, ความเด่นดัง, และความมั่งคั่งทางด้านวัตถุ. หลายศตวรรษมาแล้ว กษัตริย์ซะโลโมได้สะสมสิ่งฝ่ายวัตถุของโลกทุกอย่างเท่าที่จะหาได้. ท่านได้สร้างคฤหาสน์หลายหลังและมีสวนดอกไม้, สวนผลไม้, ข้าทาสบริวาร, ฝูงปศุสัตว์, นักร้องชายหญิง, พร้อมกับทองคำและเงินมากมาย. ซะโลโมได้เพิ่มพูนทรัพย์สินของท่านมากกว่าคนทั้งปวงที่อยู่ก่อนหน้าท่าน. การกล่าวว่าท่านร่ำรวยก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ. ซะโลโมมีเกือบทุกสิ่งที่ท่านอาจปรารถนา. กระนั้น เมื่อพิจารณาดูสิ่งที่ท่านประสบผลสำเร็จแล้ว ท่านได้กล่าวว่า “การทั้งหลายเป็นอนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม.”—ท่านผู้ประกาศ 2:1-11.
โดยสติปัญญาที่เหนือกว่าเป็นพิเศษที่พระยะโฮวาประทานแก่ท่าน ซะโลโมทราบว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเกิดจากการมุ่งติดตามค่านิยมฝ่ายวิญญาณ. ท่านได้เขียนว่า “ให้เราฟังคำสรุปของเรื่องทั้งหมด: จงเกรงกลัวพระเจ้า, จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์; เพราะว่าการนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 12:13.
ทรัพย์ที่พบได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า มีคุณค่ามากกว่าทองคำหรือเงิน. (สุภาษิต 16:16) ดุจดังอัญมณี ความจริงที่ลึกซึ้งมีอยู่ในพระคำนั้นเพื่อให้คุณขุดค้น. คุณจะแสวงหาและขุดค้นเอาความจริงนั้นไหม? (สุภาษิต 2:1-6) พระผู้สร้างของเรา แหล่งแห่งค่านิยมแท้ ทรงกระตุ้นคุณให้ทำเช่นนั้น และพระองค์จะช่วยเหลือคุณ. โดยวิธีใด?
พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมความจริงอันล้ำค่าผ่านทางพระคำ, พระวิญญาณ, และองค์การของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3; ยะซายา 48:17, 18; มัดธาย 24:45-47; 1 โกรินโธ 2:10) การตรวจสอบดูอัญมณีที่หายาก เหล่านี้ซึ่งเหลือที่จะประเมินคุณค่า ทำให้คุณมีโอกาสเลือกอย่างชาญฉลาดที่จะดำเนินในแนวทางชีวิตที่ดีที่สุดและให้ผลตอบแทนมากที่สุด. และการเลือกดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะพระยะโฮวา พระผู้สร้างของเรา ทรงทราบสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะประสบความสุขอย่างแท้จริง.
คัมภีร์ไบเบิลส่งเสริมค่านิยมที่สูงส่งที่สุด
คำแนะนำ หรือคำตักเตือนที่ถูกต้องซึ่งหาได้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นทั้งใช้การได้จริงและไม่มีใดเทียบ. มาตรฐานด้านศีลธรรมที่พระคัมภีร์สนับสนุนนั้นล้ำเลิศอย่างไม่มีใดเปรียบได้. คำแนะนำในพระคัมภีร์ก็เป็นประโยชน์เสมอ. คัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงและใช้การได้ตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน. ตัวอย่างต่าง ๆ เกี่ยวกับคำแนะนำที่ถูกต้องในคัมภีร์ไบเบิลคือให้ทำงานอย่างขยันขันแข็ง, เป็นคนซื่อสัตย์, ใช้เงินอย่างฉลาดสุขุม, และให้หลีกเลี่ยงความเกียจคร้าน.—สุภาษิต 6:6-8; 20:23; 31:16.
สอดคล้องกับคำแนะนำดังกล่าว พระเยซูตรัสว่า “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก, ที่ตัวหนอนและสนิมอาจทำลายเสียได้, และที่ขโมยอาจขุดช่องล้วงลักเอาไปได้. แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์, ที่หนอนหรือสนิมทำลายเสียไม่ได้, และที่ไม่มีขโมยขุดช่องล้วงลักเอาไปได้.”—มัดธาย 6:19, 20.
คำตักเตือนที่เหมาะกับเวลาเช่นนั้นนำมาใช้ได้ในทุกวันนี้เช่นเดียวกับเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว. แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความมั่งคั่งด้านวัตถุ เราสามารถได้รับประโยชน์ในขณะนี้โดยการติดตามแนวทางชีวิตที่ดีกว่า. ปัจจัยสำคัญคือการสะสมทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและความอิ่มใจอย่างแท้จริง. เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? โดยการอ่านคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า และนำสิ่งที่พระคัมภีร์สอนมาใช้.
ค่านิยมฝ่ายวิญญาณนำมาซึ่งผลตอบแทน
เมื่อมีการนำมาใช้อย่างเหมาะสม ค่านิยมฝ่ายวิญญาณเป็นประโยชน์ต่อเราทางด้านร่างกาย, ด้านอารมณ์, และด้านวิญญาณ. เช่นเดียวกับชั้นโอโซนที่อยู่สูงเหนือแผ่นดินโลกปกป้องเราไว้จากรังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ หลักศีลธรรมที่ถูกต้องช่วยปกป้องเราไว้โดยทำให้เรารับรู้ถึงผลที่เป็นอันตรายของการนิยมวัตถุ. คริสเตียนอัครสาวกเปาโลได้เขียนว่า “ฝ่ายคนเหล่านั้นที่อยากเป็นคนมั่งมีก็ย่อมตกในการทดลอง, และในบ่วงแร้ว, และในตัณหาหลายอย่างอันโฉดเขลาและเป็นภัยแก่ตัว, ซึ่งย่อมทำให้ตัวจมลงในความพินาศเสื่อมศูนย์ไป. ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นก็เป็นรากแห่งความชั่วทุกอย่าง และบางคนที่ได้โลภเงินทองจึงได้หลงไปจากความเชื่อนั้น, และความทุกข์เป็นอันมากจึงทิ่มแทงตัวของเขาเองให้ทะลุ.”—1 ติโมเธียว 6:9, 10.
การรักความร่ำรวยล่อใจผู้คนให้แสวงหาทรัพย์สมบัติ, ตำแหน่ง, และอำนาจมากขึ้น. บ่อยทีเดียว มีการใช้วิธีที่คดโกงและไม่ซื่อสัตย์เพื่อจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้. หากเรามุ่งติดตามการนิยมวัตถุ เราก็จะเสียเวลา, กำลัง, และความสามารถไปโดยเปล่าประโยชน์. เราอาจจะนอนไม่หลับด้วยซ้ำ. (ท่านผู้ประกาศ 5:12) การแสวงหาวัตถุมากขึ้นขัดขวางความก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอน. พระเยซูคริสต์ บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น แสดงอย่างชัดแจ้งถึงวิธีที่ดีกว่าคือ “ความสุขมีแก่ผู้ที่รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน.” (มัดธาย 5:3, ล.ม.) พระองค์ทรงทราบว่าความร่ำรวยฝ่ายวิญญาณให้ผลตอบแทนถาวรและสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ชั่วคราวด้านวัตถุมากนัก.—ลูกา 12:13-31.
เป็นประโยชน์จริง ๆ ไหม?
เกรกเล่าว่า “คุณพ่อคุณแม่พยายามอย่างแข็งขันที่จะทำให้ผมเชื่อมั่นว่าค่านิยมทางฝ่ายวิญญาณใช้ไม่ได้ผล. กระนั้น ผมได้ความสงบใจมากมายโดยการติดตามเป้าหมายฝ่ายวิญญาณ เพราะผมไม่มีความเครียดที่เกิดจากการแข่งขันกันเพื่อจะได้ความมั่งคั่ง.”
นอกจากนั้น ค่านิยมฝ่ายวิญญาณก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกว่าระหว่างบุคคลด้วย. เพื่อนแท้ได้รับการดึงดูดให้มาหาคุณเนื่องจากนิสัยใจคอของคุณ ไม่ใช่สิ่งที่คุณมีอยู่. คัมภีร์ไบเบิลแนะนำว่า “บุคคลที่ดำเนิน [“คบหา,” ฉบับแปลทูเดส์ อิงลิช] กับคนมีปัญญาก็จะเป็นคนมีปัญญา.” (สุภาษิต 13:20, ล.ม.) นอกจากนี้ ครอบครัวที่ประสบผลสำเร็จมีสติปัญญาและความรักเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติฝ่ายวัตถุ.—เอเฟโซ 5:22–6:4.
เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับค่านิยมที่ดี. เราต้องเรียนสิ่งเหล่านี้จากคนรอบข้างหรือจากแหล่งที่สูงกว่า. เพราะเหตุนี้ การศึกษาที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งสิ้นของเราเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุ. ดอน อดีตนายธนาคารกล่าวว่า “ผมได้รับการช่วยให้ทบทวนดูค่านิยมของตัวเอง และผมได้เรียนรู้ที่จะอิ่มใจกับสิ่งจำเป็นต่าง ๆ.”
จงติดตามทรัพย์ฝ่ายวิญญาณที่ถาวร
ค่านิยมฝ่ายวิญญาณเน้นหนักที่บำเหน็จระยะยาว ไม่ใช่การสนองความพอใจในช่วงสั้น ๆ. เปาโลเขียนไว้ว่า “สิ่งของซึ่งแลเห็นอยู่นั้น [สิ่งฝ่ายวัตถุ] เป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งแลไม่เห็นนั้น [สิ่งฝ่ายวิญญาณ] ก็ถาวรอยู่นิรันดร์.” (2 โกรินโธ 4:18) เป็นความจริงที่การติดตามสิ่งฝ่ายวัตถุอาจสนองความปรารถนาชั่วครู่ชั่วยาม แต่ความโลภจะไม่ให้ผลประโยชน์ถาวร. ค่านิยมฝ่ายวิญญาณดำรงอยู่ตลอดกาล.—สุภาษิต 11:4; 1 โกรินโธ 6:9, 10.
คัมภีร์ไบเบิลตำหนิการมุ่งฝักใฝ่วัตถุซึ่งเห็นได้ชัดจริง ๆ ในสมัยนี้. พระคัมภีร์สอนเราถึงวิธีที่จะยับยั้งความปรารถนาฟิลิปปอย 1:10) พระคัมภีร์เผยให้เห็นว่าความโลภคืออะไรจริง ๆ—คือการบูชาตัวเอง. เมื่อเรานำสิ่งที่เรียนรู้จากพระคำของพระเจ้ามาใช้ เราประสบความสุขมากขึ้น. ความคิดของเราเปลี่ยนจากการรับมาเป็นการให้. การเอาค่านิยมฝ่ายวิญญาณมาแทนการทำตามใจตนเองก่อแรงกระตุ้นที่ทรงพลังเสียจริง ๆ!
ที่เห็นแก่ตัวโดยการรักษาตาของเราให้ปกติ เพ่งเล็งในสิ่งที่สำคัญกว่า ซึ่งก็คือความร่ำรวยฝ่ายวิญญาณ. (เป็นที่ยอมรับว่า เงินอาจใช้เพื่อการปกป้องได้ในระดับหนึ่ง. (ท่านผู้ประกาศ 7:12) แต่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างที่ตรงกับความเป็นจริงว่า “ทรัพย์สมบัติมีปีก; แน่นอนทีเดียว, มันจะบินหายไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี.” (สุภาษิต 23:5) ผู้คนได้สละสิ่งสำคัญ ๆ เพื่อจะได้สิ่งฝ่ายวัตถุมากขึ้น พวกเขายอมเสียสุขภาพ, ครอบครัว, กระทั่งสติรู้สึกผิดชอบที่ดีด้วยซ้ำ—ซึ่งก่อผลที่เสียหายมาก. ในอีกด้านหนึ่ง การมีความสนใจสิ่งฝ่ายวิญญาณสนองความจำเป็นที่สำคัญที่สุดของเรา—ความจำเป็นที่จะได้รับความรัก, ความจำเป็นที่จะต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต, และความจำเป็นที่จะนมัสการพระยะโฮวา พระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความรัก. การมีความสนใจสิ่งฝ่ายวิญญาณยังชี้ทางสู่ชีวิตนิรันดร์ในสภาพมนุษย์สมบูรณ์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน—ความหวังที่พระเจ้าทรงเสนอให้เรา.
ในไม่ช้าความหวังของมนุษยชาติในเรื่องความเจริญรุ่งเรืองจะเป็นจริงอย่างครบถ้วนในโลกใหม่ของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 145:16) ในตอนนั้นแผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะ “เต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวา.” (ยะซายา 11:9) ค่านิยมฝ่ายวิญญาณจะเฟื่องฟู. การนิยมวัตถุและผลเสียหายที่ตามมาจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างสิ้นเชิง. (2 เปโตร 3:13) ครั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือสุขภาพสมบูรณ์, งานที่น่าพอใจ, การหย่อนใจที่เป็นประโยชน์, ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นในครอบครัว, และมิตรภาพถาวรกับพระเจ้า จะนำความสุขแท้มาให้มนุษยชาติตลอดไป.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
จงใช้เงินของคุณอย่างฉลาดสุขุม!
มองให้ออกว่าอะไรคือความจำเป็นของคุณ. พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานว่า “โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตามความจำเป็นของแต่ละวัน.” (ลูกา 11:3, ล.ม.) อย่ายอมให้สิ่งที่คุณต้องการกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องมี. จำไว้ว่าชีวิตคุณมิได้เป็นผลจากสิ่งที่คุณมีอยู่.—ลูกา 12:16-21.
ตั้งงบประมาณ. อย่ายอมซื้อของที่ไม่ได้วางแผนว่าจะซื้อ. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “แผนการของคนขยันก่อผลประโยชน์แน่นอน แต่ทุกคนที่ใจร้อนก็มุ่งสู่ความขัดสนแน่นอน.” (สุภาษิต 21:5, ล.ม.) พระเยซูทรงแนะนำผู้ฟังพระองค์ให้พิจารณาผลได้ผลเสียก่อนลงมือดำเนินโครงการด้านการเงินใด ๆ.—ลูกา 14:28-30.
หลีกเลี่ยงหนี้สินที่ไม่จำเป็น. เท่าที่เป็นไปได้ จงเก็บออมเงินเพื่อซื้อของด้วยเงินสดแทนที่จะซื้อด้วยเงินเชื่อ. สุภาษิตกล่าวไว้ดังนี้: “คนมักยืมก็เป็นบ่าวทาสแก่ผู้ให้ยืมนั้น.” (สุภาษิต 22:7) โดยแสดงการเหนี่ยวรั้งตนและไม่ใช้จ่ายเกินงบประมาณ คุณอาจถึงกับวางแผนการซื้อของชิ้นใหญ่ได้อย่างเป็นผลสำเร็จด้วยซ้ำ.
หลีกเลี่ยงการสูญเปล่า. จงทำให้ของที่คุณมีอยู่แล้วทนนานยิ่งขึ้น โดยการดูแลรักษาเป็นอย่างดี โดยวิธีนี้จึงลดการสูญเปล่า. พระเยซูคำนึงถึงการเก็บรักษาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงใช้ไม่ให้สูญเปล่าไปอย่างเหมาะสม.—โยฮัน 6:10-13.
จัดสิ่งสำคัญไว้ในอันดับแรก. บุคคลที่มีปัญญาจะ “ซื้อโอกาสมาใช้” เพื่อติดตามเป้าหมายที่สำคัญกว่า.—เอเฟโซ 5:15, 16.
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
มีวิธีเรียนรู้ที่ดีกว่าการเรียนจากประสบการณ์
ประสบการณ์ส่วนตัว—ทั้งที่ดีและไม่ดี—อาจสอนบทเรียนอันทรงคุณค่าแก่เราได้. แต่เป็นความจริงไหมดังที่กล่าวกันโดยทั่วไปว่า ประสบการณ์เป็นครูที่ดีที่สุด? ไม่จริง มีแหล่งแห่งการชี้นำที่ดีกว่า. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญระบุแหล่งนั้นเมื่อกล่าวในคำอธิษฐานว่า “พระวจนะของพระองค์ เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:105.
เหตุใดการเรียนจากคำสั่งสอนของพระเจ้าจึงดีกว่าการเรียนจากประสบการณ์ส่วนตัวมาก? เหตุผลประการหนึ่งคือ การเรียนจากประสบการณ์แต่เพียงอย่างเดียว หรือการลองถูกลองผิดนั้น อาจทำให้ทั้งสูญเสียและเจ็บปวดได้. นอกจากนั้น ยังไม่จำเป็นด้วย. พระเจ้าตรัสแก่ชาวอิสราเอลโบราณว่า “โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว, ความเจริญของเจ้าก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล, และความชอบธรรมของเจ้าก็จะมีบริบูรณ์ดังคลื่นในมหาสมุทร.”—ยะซายา 48:18.
เหตุผลประการหนึ่งที่พระคำของพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งคำแนะนำที่เหนือกว่า ก็เนื่องจากมีเรื่องราวที่เก่าแก่และถูกต้องมากที่สุดเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์. คุณคงยอมรับว่าการเรียนจากความสำเร็จและความล้มเหลวของคนอื่นโดยไม่เจ็บปวดนั้นดีกว่าการทำซ้ำความผิดพลาดของพวกเขา. (1 โกรินโธ 10:6-11) สำคัญยิ่งกว่านั้น ในคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าทรงประทานกฎหมายอันยอดเยี่ยมและหลักการชี้นำให้เราซึ่งไว้วางใจได้อย่างไม่มีใดเทียบ. “กฎหมายของพระยะโฮวาสมบูรณ์ . . . ข้อเตือนใจของพระยะโฮวาวางใจได้ ทำให้ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีปัญญา.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7, ล.ม.) แน่นอน การเรียนจากสติปัญญาของพระผู้สร้างของเราองค์เปี่ยมด้วยความรักเป็นวิธีดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้.
[ภาพหน้า 4]
โลกต้องการให้คุณรับเอารูปแบบชีวิตที่ฝักใฝ่ทางวัตถุ
[ภาพหน้า 5]
ทรัพย์ที่พบได้ในคัมภีร์ไบเบิลมีคุณค่ามากกว่าทองคำหรือเงิน